ทีมวิจัยมุ่งเป้าน้ำจับมือเครือข่ายมหาวิทยาลัย ใช้ปัญหาเป็นตัวตั้งสานพลังในลุ่มน้ำแม่กลอง

ทีมวิจัยมุ่งเป้าน้ำจับมือเครือข่ายมหาวิทยาลัย ใช้ปัญหาเป็นตัวตั้งสานพลังในลุ่มน้ำแม่กลอง
รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงานเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ประเด็น ‘น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง ใน 10 จังหวัด’ ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผ่านสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยภายหลังประชุมเชิงปฏิบัติการและศึกษาดูงานภายใต้แผนงาน “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง ใน 10 จังหวัด” ครั้งที่ 2/2568 ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเครือข่ายนักวิจัยกว่า 15 มหาวิทยาลัย พร้อมลงสำรวจพื้นที่ใน 3 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสงคราม ราชบุรี และกาญจนบุรี

ผู้อำนวยการแผนงานฯ กล่าวว่า แผนงานน้ำมั่นคงฯ ใช้ปัญหาเป็นตัวตั้ง และนำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมหาตกลงร่วมกัน โดยใช้ความรู้ ข้อมูล และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการน้ำ ในส่วนของลุ่มน้ำแม่กลองพยายามรวมงานลุ่มน้ำมาเชื่อมกับระดับจังหวัด ตำบล และชุมชน ทั้งนี้ ปัญหาของน้ำมั่นคง คือ มีน้ำเพียงพอและใช้ประโยชน์ของน้ำมาสร้างมูลค่าให้ดีขึ้นได้อย่างไร โดยมีตำบลและจังหวัดเป็นเจ้าของพื้นที่ ส่วนการบริการมาจากกรมชลประทานหรือกรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ และสุดท้ายคณะกรรมการลุ่มน้ำมีหน้าที่เคลียร์ปัญหาตั้งแต่พื้นฐานทุกจังหวัดและลุ่มน้ำให้สามารถแก้ไขปัญหาน้ำได้
สิ่งที่โครงการทำในลุ่มน้ำแม่กลอง คือ (1) พัฒนาแบบจำลองและคำนวณความสมดุลของน้ำ คาดการณ์ระดับน้ำในอนาคต เพื่อใช้ประโยชน์จากน้ำท่าที่ไหลจากลุ่มแม่น้ำย่อยมาช่วยในการบริหารจัดการน้ำ ลดการปล่อยน้ำจากเขื่อนลง และใช้น้ำในฤดูแล้งอีก 2 ปีถัดไปได้ (2) ทำข้อตกลงเกี่ยวกับการแบ่งน้ำ เพื่อจัดสรรน้ำให้เหมาะสมระหว่างลุ่มน้ำจากการจัดของภูมิภาคต่าง ๆ เกิดความสมดุลและยั่งยืน รวมทั้งน้ำที่จะส่งมาภาคกลาง (3) ส่งเสริมให้เกิดการใช้เทคโนโลยี ได้แก่ ระบบเซนเซอร์ หรือการจับข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับน้ำ ให้ชาวบ้านรู้ข้อมูลน้ำหรือความเค็มของน้ำได้ เพื่อปรับตัวดึงน้ำมาใช้ในชีวิตประจำวันหรือการเกษตรได้เองอย่างเหมาะสม โดยไม่เกิดความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร
“หน่วยงานวิจัยจะให้ความรู้และข้อมูลที่ทันสมัยและถูกต้องมากขึ้น ใช้ประโยชน์ในการกำหนดข้อตกลง และการแบ่งปันเท่าเทียมและยั่งยืน งานส่วนที่ทำ คือ พัฒนาคนในหน่วยงาน เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือตัวจังหวัดให้เข้าใจและเป็นผู้นำข้อมูลไปใช้ สามารถรู้ข้อมูลที่จำเป็นในการใช้งานที่สามารถเสนอแก้ไขหรือเสนอโครงการใหม่ ๆ และนำข้อมูลไปดำเนินการ เพื่อให้เกิดโครงการขึ้นมาในพื้นที่ ได้ในระหว่างโครงการและอนาคตได้เอง ส่วนประชาชนทั่วไปจะได้รับรู้ข้อมูลทันสมัย และผู้บริหารหน่วยงานสามารถนำข้อมูลมาแก้ไขหรือพัฒนาโครงการใหม่ ขณะที่ผู้อนุมัติโครงการทั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำหรือหน่วยงานโครงการ จะมีข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าใจกันเพื่อทำให้กลไกของการวางแผนและการดำเนินการถูกต้องและรวดเร็วยิ่งขึ้น” รศ. ดร.สุจริตระบุ

ด้าน รศ. ดร.บัญชา ขวัญยืน ผู้อำนวยการแผนงานภาคกลาง เปิดเผยว่า ลุ่มน้ำแม่กลองกับพื้นที่ภาคกลางใช้น้ำมาก มีผู้ใช้น้ำหลากหลาย และแบ่งน้ำไปหลายลุ่มน้ำของประเทศ (ท่าจีนและเจ้าพระยาตอนล่าง) จึงมีความสำคัญกับพื้นที่หลายจังหวัด ทางออกหนึ่งคือต้องทำให้การประหยัดน้ำ ลดการใช้น้ำ นำน้ำกลับมาใช้ใหม่ ตามแนวคิดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในกลุ่มผู้ใช้น้ำภาคเกษตร ภาคอุปโภคบริโภคและภาคอุตสาหกรรม และยังทำงานร่วมกับหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง อาทิ กฟผ. กรมชลประทาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
การทำงานผ่านคณะกรรมการลุ่มน้ำมีความคาดหวัง คือ 1. มีคู่มือการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำแม่กลอง 2. มีแนวทางการประหยัดน้ำ ลดการสูญเสียน้ำ 3. สร้างรายได้เพิ่มจากการใช้ประโยชน์จากน้ำได้ดีขึ้นโดยสร้างอาชีพที่เหมาะสมกับพื้นที่นั้น ๆ 4. ลดความขัดแย้งท้ายน้ำ ปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำและน้ำเสีย ซึ่งเกิดมานานกว่า 20 ปี แม้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเบ็ดเสร็จได้ แต่จะทำให้เกิดความร่วมมือในการเจรจา และสร้างเวทีการมีส่วนร่วมเพื่อการปัญหาร่วมกัน ในฐานะนักวิชาการเป็นคนกลางที่รับฟังได้ทุกฝ่ายแล้วเจรจาหาทางออกที่ดีของแม่น้ำแม่กลองตอนล่าง ส่งเสริมอาชีพสวนผลไม้ ทั้งมะพร้าว ส้มโอ และลิ้นจี่ โดยหลังจากแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพน้ำ น้ำเสีย และน้ำเค็มในช่วงหนึ่งแล้วเริ่มมีความชัดเจนขึ้น พร้อมติดตั้งอุปกรณ์เพื่อติดตามน้ำเค็มและนำข้อมูลกระจายให้ชาวสวนได้ทราบ ระยะต่อไปจะติดตั้งเครื่องมือวัดลมที่ปากอ่าว สันนิฐานว่าช่วงลมแรงทำให้เกิดคลื่นสูง ดันน้ำเค็มเข้ามายังปากแม่น้ำ เกิดน้ำเค็มรุกล้ำไปยังสวนผลไม้ การค้นพบนี้จะทำให้ชาวสวนรู้ว่า ช่วงใดต้องติดตามและระวังการเปิดน้ำเข้าสวนคาดว่าจะลดความสูญเสียลงได้ส่วนหนึ่ง
ขณะที่ ผศ. ดร.ชูพันธุ์ ชมพูจันทร์ นักวิจัยจากภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน คณะวิศวกรรมศาสตร์กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน พร้อมร่วมมือกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) และมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อเสริมข้อมูลทั้งเรื่อง Baseline ข้อมูลการใช้น้ำของแต่ละโครงการ เพื่อประกอบการวางแผนระยะยาวว่าศักยภาพจริง ๆ ของลุ่มน้ำแม่กลองในการสนับสนุนในพื้นที่และสนับสนุนแม่น้ำเจ้าพระยาได้ถูกต้อง เพราะกรมชลประทานใช้น้ำของแม่กลองในช่วงฤดูแล้ง ส่วน กฟผ. มี Baseline คือ การปล่อยน้ำตามการผลิตกระแสไฟฟ้า หรือปล่อยน้ำเพื่อป้องกันรุกล้ำลำน้ำ เป็นต้น
สิ่งหนึ่งที่ลุ่มน้ำแม่กลองมีบทบาทมาตลอด คือ ภาพรวมมีน้ำเหลือพอที่จะจ่ายให้กับลุ่มแม่น้ำอื่น แต่ลุ่มน้ำย่อยของแม่กลองเองที่ยังไม่สามารถพัฒนาระบบชลประทานขนาดใหญ่ได้ ยังเป็นจุดที่ขาดแคลนน้ำอยู่ ซึ่งงานวิจัยอาจช่วยตอบโจทย์พื้นที่นอกเขตกรมชลประทานได้ว่า ถ้าปริมาณน้ำฝนหรือสมดุลน้ำอยู่ในช่วงวิกฤตขาดแคลน ความจุของแหล่งน้ำที่จะพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ จะมีศักยภาพหรือพัฒนาได้เท่าไร สุดท้ายเครื่องมือช่วยการบริหารจัดการน้ำ คือ ระบบ MIS (Management Information System) ที่มีแดชบอร์ดหรือข้อมูลกลางสำหรับสื่อสารได้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ รวมถึงผู้ใช้น้ำทุกคน อย่างน้อยจะได้รู้ว่าน้ำที่จะเข้าในพื้นที่หรือคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นเท่าไร การพูดคุยในทิศทางเดียวกันจะเกิดพลังการทำงานของหน่วยงาน และเตรียมตัวรับมือแผนต่าง ๆ ของชุมชนได้ดี