ซินโครตรอนสนับสนุนกองทัพภาคที่ 2 รพ.ค่ายสุรนารี พัฒนาสายรัดห้ามเลือด–เฝือกอ่อน เสริมสมรรถนะแพทย์ทหาร ป้องกันการเสียชีวิตกำลังพลชายแดน สร้างความมั่นคงของชาติ
ซินโครตรอนสนับสนุนกองทัพภาคที่ 2 รพ.ค่ายสุรนารี พัฒนาสายรัดห้ามเลือด–เฝือกอ่อน เสริมสมรรถนะแพทย์ทหาร ป้องกันการเสียชีวิตกำลังพลชายแดน สร้างความมั่นคงของชาติ
สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประยุกต์องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมขั้นสูง สู่งานความมั่นคงของประเทศ สนับสนุนภารกิจแพทย์ทหาร โดยร่วมมือกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลค่ายสุรนารี พัฒนาสายรัดห้ามเลือดแบบก้านหมุน และเฝือกอ่อนเพื่อใช้งานในราชการสนาม ผลทดสอบเทียบเท่ามาตรฐานสากล มีต้นทุนถูกกว่านำเข้า สร้างโอกาสพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน
กรุงเทพมหานคร – นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีมอบสายรัดห้ามเลือด 1000 ชุด และเฝือกอ่อนจำนวน 500 ชุด ที่ร่วมพัฒนาโดยความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนและโรงพยาบาลค่ายสุรนารี เพื่อใช้ในราชการสนามแก่ กองทัพภาคที่ 2 โดยมี พลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นผู้รับมอบ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ณ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ซอยโยธี กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และโรงพยาบาลค่ายสุรนารี ได้ร่วมพัฒนา 2 อุปกรณ์ ได้แก่ 1. สายรัดห้ามเลือดแบบก้านหมุน หรือ “ทูนิเก้” (Combat Application Tourniquet: CAT) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญทางเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ที่ใช้เพื่อควบคุมภาวะเลือดออกรุนแรงจากบาดแผลที่แขนหรือขา ซึ่งไม่สามารถหยุดเลือดได้ด้วยวิธี
กดแผลโดยตรง และ 2. เฝือกอ่อน (Splint) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ปฐมพยาบาลสำเร็จรูปสำหรับตรึงกระดูกหรือข้อเคลื่อนชั่วคราว
หลักการทำงานของสายรัดห้ามเลือดคือการสร้างแรงกดที่เพียงพอให้มากกว่าความดันโลหิตซิสโตลิก (Systolic Blood Pressure) ของผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งความดันดังกล่าวเป็นค่าความดันสูงสุดในหลอดเลือดที่เกิดขึ้นขณะที่หัวใจบีบตัวเพื่อสูบฉีดเลือดที่มีออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยปกติมีค่าอยู่ประมาณ 50–150 มิลลิเมตรปรอท เมื่อสายรัดห้ามเลือดสร้างแรงกดเพียงพอจะปิดกั้นการไหลเวียนของเลือดจากหลอดเลือดแดง และแถบที่กว้างของสายรัดจะกระจายแรงกดและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อเฉพาะจุด จึงมีประสิทธิภาพและปลอดภัยกว่าวัสดุชั่วคราว อาทิ เชือก หรือผ้าแคบ และในการใช้งานจำเป็นต้องบันทึกเวลาเพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ทราบ เนื่องจากระยะเวลาที่เกิน 2 ชั่วโมง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อขาดเลือดที่นำไปสู่เนื้อตาย และภาวะความดันในช่องกล้ามเนื้อสูง
ส่วนเฝือกอ่อนเป็นวัสดุที่ผลิตจากอะลูมิเนียมอัลลอยด์บางที่ประกบด้านบนและด้านล่างด้วยชั้นโฟมโพลีเอทิลีน มีสมบัติทางกลศาสตร์ที่สำคัญ คือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและขนาดวัตถุอย่างถาวรโดยไม่กลับคืนรูปร่างเดิม จึงสามารถดัดโค้งให้เข้ากับสรีระได้คงรูปถาวร และมีเสถียรภาพในการตรึงกระดูกหัก ที่สำคัญ คือเป็นวัสดุที่โปร่งแสงรังสี (Radiolucent) ทำให้สามารถถ่ายภาพรังสีเอกซ์ (X-ray) เพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บได้โดยไม่ต้องถอดเฝือกออก วัสดุนี้จึงเหมาะสำหรับการปฐมพยาบาลภาคสนามและการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
อุปกรณ์สำหรับราชการสนามทั้ง 2 ชนิดนี้ สถาบันฯ ผลิตขึ้นโดยได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลค่ายสุรนารี ผนวกเข้ากับความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมของสถาบันฯ โดยวัสดุในการผลิตสายรัดห้ามเลือดและเฝือกอ่อนนั้น เป็นอะลูมิเนียมที่สถาบันฯ นำมาอบอ่อน (Annealing) เพื่อลดความแข็งและเพิ่มความเหนียวให้กับวัสดุด้วยเครื่องมือของห้องปฏิบัติการทางเทคนิคและวิศวกรรม ซึ่งปกติใช้งานในการพัฒนาและซ่อมบำรุงเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนและระบบลำเลียงแสง
อะลูมิเนียมที่ปรับปรุงคุณสมบัติแล้วสามารถประยุกต์ใช้กับเฝือกอ่อนเพื่อดัดโค้งให้เข้ากับสรีระของผู้บาดเจ็บได้ตามความต้องการ และเมื่อนำอะลูมิเนียมดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับสายรัดห้ามเลือดจะยืดหยุ่นรับกับอวัยวะ แต่ไม่คลายตัว จึงห้ามเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลการทดสอบสายรัดห้ามเลือดที่สถาบันฯ พัฒนาขึ้นนี้ สามารถรัดห้ามเลือดได้นานต่อเนื่อง 5–6 ชั่วโมงโดยไม่คลายตัว มีประสิทธิภาพเทียบเท่าสายรัดห้ามเลือดมาตรฐานที่นำเข้าจากต่างประเทศแต่มีต้นทุนต่ำกว่าครึ่ง
รศ.ดร.สาโรช รุจิรวรรธน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน กล่าวว่า “การพัฒนาสายรัดห้ามเลือดและเฝือกอ่อนเพื่อใช้งานในราชการภาคสนามนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการประยุกต์ใช้ความเชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนเพื่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งหลังจากนี้จะได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ในการผลิตให้แก่ผู้เกี่ยวข้องเพื่อการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการ และสถาบันฯ ยังคงมุ่งมั่นในการนำวิทยาศาสตร์แสงซินโครตรอนและเทคโนโลยีขั้นสูงมาประยุกต์ใช้ในหลากหลายสาขา เพื่อขับเคลื่อนองค์ความรู้และการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป”