ทีมวิจัยน้ำมั่นคงฯเร่งทำเครื่องหมายระดับน้ำท่วม วางแผนป้องกันน้ำท่วมตลอดลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา

ทีมวิจัยน้ำมั่นคงฯเร่งทำเครื่องหมายระดับน้ำท่วม วางแผนป้องกันน้ำท่วมตลอดลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา

   เมื่อ : 10 ธ.ค. 2568

คณะวิจัยแผนงานน้ำมั่นคงฯ จัดทำเครื่องหมายระดับน้ำท่วม (flood marks) ตลอดลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา ตัวเมืองหาดใหญ่และเทศบาลเมืองคอหงส์ หวังเป็นข้อมูลไปสร้างแผนที่น้ำท่วม และสนับสนุนการวางแผนป้องกันน้ำท่วมที่เหมาะสมในอนาคต พร้อมเรียนรู้การทำงานร่วมกันของ อปท. ที่ร่วมกันออกแบบแผนอพยพกับชุมชน 

รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงานการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรมตามเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง เปิดเผยว่า คณะวิจัยได้ร่วมจัดทำเครื่องหมายระดับน้ำท่วม (flood marks) ในพื้นที่ตัวเมืองหาดใหญ่ และเทศบาลเมืองคอหงส์ จังหวัดสงขลา ซึ่งประสบภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อให้สามารถจัดทำแผนที่น้ำท่วม มีขอบเขตน้ำท่วมและระดับน้ำท่วมจริงที่เกิดขึ้น เพื่อใช้ในการวางแผนและวิจัยในระยะต่อไป
ทั้งนี้ คณะวิจัยภายใต้การสนับสนุนของกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และเครือข่ายพัฒนาความเข้มแข็งต่อภัยพิบัติไทย (TNDR) ได้ร่วมกันทำเครื่องหมายระดับน้ำท่วมให้ครอบคลุมตลอดลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภาอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากพื้นที่ต้นน้ำในเขตเทศบาลตำบลบ้านพรุและเทศบาลตำบลบ้านไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำก่อนที่น้ำจะไหลเข้าสู่ตัวเมืองหาดใหญ่ที่มักรับการไหลบ่าของน้ำฝนที่ตกหนักและเป็นจุดกำเนิดของมวลน้ำที่เคลื่อนตัวลงสู่โซนเมืองโดยตรง ก่อนไหลลงพื้นที่ในช่วงกลางน้ำ ได้แก่ เทศบาลเมืองคอหงส์และเทศบาลนครหาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจหลักของจังหวัด และมีความเปราะบางสูงต่อความเสียหาย หากระดับน้ำเพิ่มขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ส่งผลต่อชุมชน การคมนาคม และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ส่วนในช่วงท้ายน้ำ ได้แก่ เทศบาลตำบลเกาะยอ ตำบลคู่เต่า และตำบลบางกล่ำ เป็นพื้นที่รองรับมวลน้ำทั้งหมดก่อนระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลา ระดับน้ำในโซนนี้จึงสะท้อนผลรวมของการไหลมาจากทั้งลุ่มน้ำ

ผศ. ดร.ณัฐพล แก้วทอง นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย ระบุว่า การทำเครื่องหมายระดับน้ำท่วมในทุกช่วงของลุ่มน้ำมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยบันทึกระดับน้ำท่วมจริงในตำแหน่งที่มีบทบาททางอุทกวิทยาแตกต่างกัน ทำให้สามารถมองเห็นเส้นทางการไหลของน้ำ จุดเปราะบาง และบริเวณเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้สร้างแผนที่น้ำท่วมจริง ปรับปรุงประสิทธิภาพของแบบจำลองน้ำฝน–น้ำท่า ให้ใกล้เคียงสถานการณ์จริงมากขึ้น และสนับสนุนการวางแผนป้องกันน้ำท่วมที่เหมาะสมทั้งในพื้นที่เศรษฐกิจและพื้นที่ชุมชนตลอดทั้งลุ่มน้ำ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในอนาคต
นอกจากนี้คณะวิจัยยังได้เรียนรู้การรับมือน้ำท่วมในระดับพื้นที่จาก นายโกวิทย์ ทะลิทอง กำนันตำบลเชิงแส หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่สุดของพื้นที่ซึ่งอยู่ในคาบสมุทรสทิงพระที่อยู่อีกด้านหนึ่งของทะเลสาบสงขลา โดยน้ำมาจาก 2 ส่วนหลัก คือ น้ำท่วมในอำเภอหาดใหญ่ที่เอ่อล้นจากคลองอู่ตะเภาไหลผ่านพื้นที่ตำบลเชิงแส อำเภอกระแสสินธุ์ และอีกส่วนมาจากการประตูระบายน้ำพังในพื้นที่ตำบลโรง ทำให้น้ำทะเลหนุนเข้ามาในพื้นที่จนเกิดปัญหาน้ำท่วมอย่างรวดเร็วทั้งในอำเภอกระแสสินธุ์และอำเภอระโนด ยกเว้นตำบลเกาะใหญ่ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สูง โดยปริมาณน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ 20-25 เซนติเมตรต่อชั่วโมง บางช่วงสูงถึง 30 เซนติเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้พื้นที่เกษตรท่วมสูงถึง 3 เมตร และบ้านเรือนท่วม 1.5 เมตร แม้กรมชลประทานมีเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ระบายน้ำออก 3 จุดในคาบสมุทรสทิงพระเพื่อไหลสู่ทะเลสาบสงขลา ก็ยังไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน ส่งผลให้มีผู้ประสบภัย 1500 ครัวเรือน พื้นที่เกษตรจำนวน 10200 ไร่ และสัตว์เศรษฐกิจ เช่น วัว ควาย เริ่มขาดแคลนอาหาร 
การรับมือน้ำท่วมครั้งนี้ ทีมงานน้ำชุมชนได้ทำงานแบบมีส่วนร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น ท้องที่และผู้นำชุมชน โดยออกแบบแผนการอพยพผู้คนไปยังศูนย์พักพิง ณ วัดเอกเชิงแส ขนย้ายสิ่งของในบ้านขึ้นที่สูง แบ่งโซนพื้นที่รับผิดชอบ และประสานหน่วยงานผ่านอำเภอและชลประทานเพื่อขอความช่วยเหลือและสูบน้ำออกจากพื้นที่ ส่งผลให้เข้าขนย้ายคนและสิ่งของได้ทันเวลา ทรัพย์สินในบ้านได้รับความเสียหายน้อย 

นอกจากนี้ชุมชนตำบลเชิงแสยังได้รับการสนับสนุนจากอำเภอและเทศบาลเรื่องการขนส่ง เช่น รถยนต์ รถบรรทุก เรือ และเปิดครัวกลางแจกจ่ายอาหารให้ผู้ได้รับผลกระทบวันละ 1–2 มื้อ อีกทั้งเร่งส่งข้อมูลเพื่อให้ได้รับเงินเยียวยาภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 วัน โดยเจ้าหน้าที่เร่งคีย์ข้อมูลในระบบให้ครบถ้วนก่อนแล้วจึงเก็บเอกสารภายหลัง เพื่ออำนวยการให้ชาวบ้านได้รับเงินเยียวยาได้เร็วที่สุด ส่วนแนวทางการจัดการปัญหาในระยะถัดไป คือ การแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย ฟื้นฟูพื้นที่เกษตรที่เสียหาย สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าว และส่งเสริมอาชีพที่หลากหลาย เพื่อให้ชาวบ้านสามารถปรับตัว เปลี่ยนวิถีการทำนาให้เหมาะสมกับการเป็นแปลงของธรรมชาติ และกลับมาทำอาชีพได้โดยเร็ว