สกสว. ลงนาม MOU ความร่วมมือทางวิชาการเพื่อคุ้มครองสิทธิประชาชนและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม

สกสว. ลงนาม MOU ความร่วมมือทางวิชาการเพื่อคุ้มครองสิทธิประชาชนและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัย การใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ในการขับเคลื่อนนโยบาย และการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมบริการภาครัฐที่ตอบโจทย์สิทธิมนุษยชน

ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายที่ตั้งอยู่บนฐานข้อมูลวิจัยและนวัตกรรม หรือ Evidence-based Policy ซึ่งเป็นแนวทางที่ สกสว. ให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยเฉพาะการสนับสนุนทุนวิจัยให้กับนักวิจัยจากหลากหลายสาขาเพื่อศึกษาประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิ เสรีภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงการบูรณาการงานวิจัยกับหน่วยงานรัฐ เพื่อออกแบบกลไกและนโยบายที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพื้นที่และบริบทของสังคมไทย

นายสมศักดิ์ สุวรรณจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้กล่าวว่าสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีภารกิจในการรับเรื่องร้องเรียนความไม่เป็นธรรมและความเดือดร้อนของประชาชนจากการใช้อำนาจของรัฐ ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดินอย่างเป็นรูปธรรม โดยการใช้ผลงานวิจัยมาเป็นเครื่องมือในการเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเชิงป้องกันและแก้ไขปัญหา อันจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ

ขณะที่ ศ.ดร.คมกฤต เล็กสกุล รองผู้อำนวยการ สกสว. ร่วมเสวนาในประเด็น “ทิศทางประเทศไทยกับบทบาทของผู้ตรวจการแผ่นดินในการแก้ไขปัญหาที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม” ระบุว่า สกสว. มีบทบาทเป็นผู้จัดสรรงบประมาณวิจัยในภาพรวมของประเทศ โดยมีสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการและจัดสรรงบประมาณไปยังโครงการวิจัยต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศ ในด้านความท้าทายสำคัญของประเทศ พบว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำ การศึกษา และสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบผ่านข้อมูลและองค์ความรู้ โดยเฉพาะคะแนนสอบ PISA ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เราเห็นความจำเป็นที่จะต้องวิจัยหาสาเหตุอย่างลึกซึ้ง รวมถึงศึกษาผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำ และสร้างกลไกเพื่อจูงใจให้นักเรียนตั้งใจเรียนและสอบมากขึ้น
“ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการบูรณาการระบบวิจัยเพื่อประชาชน โดย สผผ. เป็นผู้กำหนดประเด็นที่ควรได้รับการวิจัย TDRI เป็นผู้ดำเนินการวิจัย วช. ดูแลการวิจัย และ สกสว. รับผิดชอบด้านการจัดสรรงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สกสว. ยังมีแผนการต่อยอดสู่ระบบวิเคราะห์ข้อมูลจากข้อร้องเรียนของประชาชน โดยนำเทคโนโลยี AI มาช่วยจัดกลุ่มและวิเคราะห์ข้อมูล พร้อมสร้างเวทีสาธารณะเพื่อการเรียนรู้ร่วมกันอย่างโปร่งใสและมีส่วนร่วม” ศ.ดร.คมกฤต กล่าวสรุป
โดยผ่านกลไกความร่วมมือในอนาคต ดังนี้ “Co-Research”พัฒนากลไกการทำงานวิจัยร่วมกับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินใน 3 มิติ คือ มิติที่ 1 การรับเรื่องร้องเรียนเชิงระบบและใช้ Big Data วิเคราะห์ปัญหาเชิงโครงสร้าง มิติที่ 2 การพัฒนา Policy Brief และ Evidence-based Recommendations ต่อรัฐสภาและรัฐบาล และมิติที่ 3 การจัดเวทีวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนกับประชาชนและหน่วยงานท้องถิ่น “Open Platform” การใช้ฐานข้อมูลร่วม เช่น ระบบร้องเรียนออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับระบบวิจัย “Capacity Building” การอบรมเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายตรวจสอบเเละฝ่ายวิจัยให้มีความเข้าใจตรงกันในเรื่องสิทธิ ความเป็นธรรม และหลักธรรมาภิบาล
สำหรับบันทึกข้อตกลงฉบับนี้มุ่งหมายให้เกิดการสนับสนุนและใช้ประโยชน์จากงานวิจัยเชิงระบบ ที่ตอบโจทย์การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมความเป็นธรรม และสร้างหลักประกันสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง อาทิ กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้สูงอายุ เด็ก เยาวชน และกลุ่มคนไร้สัญชาติ โดยมีวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้
1. เพื่อริเริ่มการวิจัยโดยมุ่งเน้นการศึกษาวิจัยเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน หรือลดภาระที่เกิดขึ้นกับประชาชน อันนำมาสู่การพัฒนาสังคมของประเทศ รวมทั้งเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ด้วย
2. เพื่อริเริ่มการวิจัยโดยมุ่นสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ หรือคำสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใด ๆ บรรดาที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนหรือเป็นภาระแก่ประชาชนโดยไม่จำเป็นหรือเกินสนสมควรแก่เหตุ
3. เพื่อพัฒนางานวิจัยและวิชาการของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ครอบคลุม และทันต่อสถานการณ์
4. เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือ แลกเปลี่ยน และขยายฐานความรู้ทางวิชาการ
โดยมี แนวทางการดำเนินการและกิจกรรมความร่วมมือในการสนับสนุนส่งเสริมให้มีการศึกษา สังเคราะห์ วิเคราะห์ และวิจัย เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนทั้งกรณีที่เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ และกรณีเสนอแนะให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ หรือคำสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใด ๆ บรรดาที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนหรือเป็นภาระแก่ประชาชนโดยไม่จำเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ รวมทั้งกรณีอื่นใด เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามเรื่องร้องเรียนเชิงระบบ รวมทั้งการพัฒนาดัชนีตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของสำนักงานผู้ตรวจการ และเรื่องตามหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ ตามรัฐธธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน สังคม และประเทศ
ทั้งนี้ สกสว. ในฐานะหน่วยงานหลักด้านการสนับสนุนทุนวิจัยของประเทศ มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาระบบนิเวศการวิจัยให้สามารถตอบโจทย์ปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมอย่างแท้จริง พร้อมทั้งผลักดันให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางจากภาควิชาการ ภาคประชาชน และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อสร้างข้อเสนอเชิงนโยบายที่มีคุณภาพ เพื่อนำพาประเทศสู่อนาคตด้วยพลังของวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมอย่างมั่นคงและยั่งยืน